December 9

0 comments

หยุดบ่น จึงจะเห็นหนทาง – ข้อคิดจากแจ๊คหม่า


คุณรู้จักแจ๊ค หม่าไหมครับ

จากครูบ้านๆธรรมดากลายมาเป็นเจ้าพ่อ E-comerce ของ Alibaba ที่มีมูลค่ามหาศาล

แบบนับตัวเลขกันไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียว

คำถามคือ อะไรที่ทำให้เขาแตกต่างและประสบความสำเร็จแตกต่างจากคนอื่นทั้งๆที่จะว่าไป เขาเองก็ไม่ได้ฉลาดไปกว่าคนอื่นและล้มเหลวมาก็เยอะ

แจ๊คหม่ามักจะพูดเสมอว่า เขามาจากครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวย

ผมนั่งฟังปาฐกถาของเขาด้วยใจจดจ่อว่า อะไรนะที่ทำให้มีแจ๊คหม่าขึ้นมาในวันนี้

“คุณรู้มั๊ย ผมเคยสอบตกมาหลายครั้ง ทั้งระดับประถมและมัธยม

สอบเข้ามหาวิทยาลัยถึง 3 ที่แต่ก็สอบไม่ติด จนไปสอบติดที่มหาวิทยาลัยครู

พอเรียนจบแล้วอยากมีเงิน ก็ไปสมัครงาน 30 กว่าที่ ก็ไม่มีที่ใหนรับ

ตอน KFC มาเปิดใหม่ๆที่จีน ไปสมัคร 24 คน เขารับ 23 คน และผมเป็นคนเดียวที่เขาไม่รับ

ไปสมัครสอบตำรวจ 5 คน เขารับ 4 คน และผมก็เป็นคนเดียวที่สอบไม่ติดอีก

สุดท้ายผมสมัครเป็นครูมหาวิทยาลัย ได้เงินเดือนประมาณ 10 ดอลล่า

มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากพอตัว”

แจ๊คหยุดช่วงเวลานี้ไว้พร้อมกับสาดสายตาไปทั่วห้อง

“แต่คุณรู้ไหม” แจ๊คพูดขึ้นมาพร้อมกับที่ผมลุ้นตัวโก่งว่าเขาจะพูดอะไร

“ผมไม่เคยบ่นเลย ผมยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น และคิดว่า

เราอาจจะยังไม่ดีพอ และคิดอยู่เสมอว่า มันมีบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษรอผมอยู่”

 

คำพูดนี้เล่นเอาผมขนลุกเลยครับ รู้แล้วว่านี่เองที่ทำให้มีแจ๊คหม่าในวันนี้

คนล้มเหลวทั่วไปก็คือคนที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ แล้วก็เริ่มบ่น คร่ำครวญ นั่นก็เพราะเขาไม่สามารถรับมือกับความเจ็บปวดได้

เขาจึงต้องโยนความผิดเหล่านี้ไปให้คนอื่น หรือสิ่งอื่นๆ เป็นอาการของคนที่ไม่สามารถควบคุมชีวิตของตัวเองได้

แล้วแจ๊คล่ะ นอกจากเขาไม่บ่นแล้วเขายังหันมามองดูตัวเองว่าเขายังขาดอะไร

นี่คือปรากฏการณ์ของคนที่เข้าควบคุมชีวิตของตัวเองได้เต็มที่ร้อยเปอร์เซนต์

เมื่อไหรก็ตามที่เราควบคุมชีวิตตัวเองได้ เมื่อนั้นความสุขความสำเร็จก็เปิดทาง

 

นอกจากนี้ ยังมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้แจ๊คยืนหยัดต่อความยากลำบากอยู่ได้นั่นก็คือ

การมองอนาคตในแง่บวก เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรที่ยากลำบากกับเขา

เขาก็มีความเชื่อว่า มันมีบางอย่างที่พิเศษรอเขาอยู่ ถ้าเขาผ่านช่วงยากลำบากนี้ไปได้

ลองนึกถึงตัวคุณเองสิครับ หากวันนี้คุณเจอเหตุการณ์เลวร้ายถาโถมประเดประดังเข้ามาทุกทิศทาง แล้วคุณบอกตัวเองว่า

“ทุกครั้งที่เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นก็เพื่อผลักดันฉันไปสู่จุดที่ดีสุดยอดกว่าเดิมเสมอ”

คุณว่าคุณจะรู้สึกยังไงและคุณจะทำอะไรต่อ เมื่อ เปรียบเทียบกับคำพูดที่ว่า

“ทำไมเรื่องเลวร้ายยังงี้ถึงเกิดขึ้นกับฉัน”

“เมื่อเราหยุดบ่นเราก็จะมีเวลามองหาโอกาสทันที” แจ๊คเริ่มพูดต่อ

“ผมเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตัวผมเองจากการรับจ้างเป็นไกด์

ผมเรียนรู้ที่จะเปิดโลกและใช้สมองผมให้มากที่สุด

ทุกสิ่งที่ผมได้ยินได้ฟังมา ผมมักจะตั้งคำถาม 3 ข้อ”

 

ผมนี่หูผึ่งรอฟังคำถามของแจ๊คเลยครับ เพราะผมรู้ว่า

การตั้งคำถามที่ดีนั้น สามารถสร้างผลลัพ์ที่แตกต่างให้กับชีวิตเราได้อย่างมหาศาล

“หนึ่ง มันเป็นเรื่องจริงไหม

สอง มันมีโอกาสอะไรซ่อนอยู่บ้าง

สาม มันมีอะไรที่ฉันสามารถทำให้แตกต่างไปจากนี้ได้บ้าง”

ผมนี่ยอมใจเลยครับกับ 3 คำถามนี้เพราะมันสุดยอดมาก

เหตุผลก็เพราะว่า คำถามแรกเป็นการตัดอารมณ์และความรู้สึกออกจากเรื่องราว

คนเราพอได้ยินได้ฟังอะไรมักจะตัดสินบนความเชื่อเดิมของตัวเองก่อนว่า

“ใช่” หรือ “ไม่ใช่” “จริง” หรือ “ไม่จริง” “ดี” หรือ “ไม่ดี” แล้วจะใส่อารมณ์ร่วมไปด้วย

ทำให้ไม่สามารถแยกเรื่องได้ว่าอันใหนจริงอันไหนปลอม

สุดท้ายจะตัดสินเรื่องราวไปตามอารมณ์

 

คำถามก็คือว่า “คุณเชื่อมั่นได้แค่ใหนว่าทุกครั้งที่คุณตัดสินใจตามอารมณ์แล้วคุณได้ผลลัพธ์ตามที่คุณต้องการเสมอ”

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณลองตั้งคำถามหาความจริงก่อน แล้วตามด้วย “มันมีโอกาสอะไรซ่อนอยู่”

สมองมนุษย์มหัศจรรย์มากครับเมื่อคุณตั้งคำถามอะไรให้ตัวเอง เขาก็จะหาคำตอบมาให้

 

เมื่อเห็นโอกาสแล้วคุณจะทำโอกาสนั้นให้เป็นประโยชน์กับคุณยังไง

ก็ลองดูว่าถ้าเป็นคุณ คุณจะทำให้มันแตกต่างออกไปยังไง

และนั่นเองก็คือจุดเริ่มต้นของความสำเร็จของแจ๊ค

 

“มีหลายคนมาบ่นกับผมว่า เงินหายากเศรษฐกิจไม่ดี อันนี้ก็ทำไม่ได้ อันนั้นก็ทำไม่ได้

คุณรู้ไหมวันที่ก่อนหน้าที่ผมจะนำบริษัทผมเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้น

มีแต่คนบ่นกับผมว่า อันนี้ไม่ดี โมเดลธุรกิจไม่ใช่ มันเป็นไปไม่ได้

แต่หลังที่ผมทำ Alibaba จนประสบความสำเร็จ

มีแต่คนมาบอกผมว่า คุณเก่งมาก ช่างเป็นโมเดลธุรกิจที่ดี

ผมรู้จัก อินเตอร์เนทครั้งแรก 1994 และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเห็นโอกาส

ถึงแม้จะมีหลายคนบอกว่า ไม่เข้าท่า เป็นไปไม่ได้

แต่จากประสบการณ์ของผมที่ได้รู้จักพูดคุยกับคนสำคัญของโลก

ไม่ว่าจะเป็น บิลล์ เกต วอเร้น บัปเฟท มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก

ทุกคนล้วนแล้วแต่มี ความคาดหวังที่ดีต่ออนาคต”

แจ๊คพูดปิดท้ายพร้อมกับส่งสายตาเชิญชวนให้ทุกคนมองโลกอนาคตในเชิงบวก

“และนั่นก็ทำให้ผมมีวันนี้ “ แจ๊คไม่ได้กล่าวเอาไว้ แต่ผมสรุปให้แจ๊คเอง

 

ทันที่ที่คุณหยุดบ่นแล้วหันมามองตัวเอง

เมื่อนั้นคุณก็เริ่มเข้ามาควบคุมชีวิตคุณเองได้แล้ว

มองไปที่อนาคตอันสดใสและหาโอกาสอยู่เสมอ

เมื่อนั้นความสำเร็จก็จะอยู่ในมือคุณ

#โค้ชเพียว

#นักสร้างสมองแห่งความสำเร็จ

__CONFIG_colors_palette__{"active_palette":0,"config":{"colors":{"62516":{"name":"Main Accent","parent":-1}},"gradients":[]},"palettes":[{"name":"Default Palette","value":{"colors":{"62516":{"val":"var(--tcb-skin-color-0)"}},"gradients":[]},"original":{"colors":{"62516":{"val":"rgb(19, 114, 211)","hsl":{"h":210,"s":0.83,"l":0.45}}},"gradients":[]}}]}__CONFIG_colors_palette__
__CONFIG_colors_palette__{"active_palette":0,"config":{"colors":{"89b00":{"name":"Main Accent","parent":-1},"f4f63":{"name":"Accent Dark","parent":"89b00","lock":{"saturation":1}}},"gradients":[]},"palettes":[{"name":"Default","value":{"colors":{"89b00":{"val":"var(--tcb-skin-color-0)"},"f4f63":{"val":"rgb(28, 40, 49)","hsl_parent_dependency":{"h":206,"l":0.15,"s":0.27}}},"gradients":[]},"original":{"colors":{"89b00":{"val":"rgb(19, 114, 211)","hsl":{"h":210,"s":0.83,"l":0.45,"a":1}},"f4f63":{"val":"rgb(12, 17, 21)","hsl_parent_dependency":{"h":206,"s":0.27,"l":0.06,"a":1}}},"gradients":[]}}]}__CONFIG_colors_palette__
Next Article

โค้ชเพียว - ดร.วีรพงษ์ ศรัทธาผล

About the author

โค้ชเพียว - ดร.วีรพงษ์ ศรัทธาผล นักสร้างสมองแห่งความสำเร็จ (โค้ชเพียว) จบปริญญาเอกจาก จากมหาวิทยาลัยโตเกียว (The University Of Tokyo) มหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศญี่ปุ่น (ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น) และเป็นผู้หนึ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อย ได้รับผิดชอบงานที่สำคัญทั้งในเรื่องของการพัฒนาองค์กร และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ แต่เขาก็ไม่เคยหยุดยั้งในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองเพื่อก้าวสู่เป้าหมายความสำเร็จที่ท้ายทายอยู่เสมอ

{"email":"Email address invalid","url":"Website address invalid","required":"Required field missing"}

ติดตามโค้ชเพียว ในโลกโซเชียลได้ที่

>