รู้เท่าทันสมอง เดอะซีรี่ย์ ตอนที่ 2:
“คุณมีสมองมากกว่าหนึ่งสมอง รู้ตัวบ้างไหม”
———————————————————————————-
คุณรู้ไหมว่าคุณไม่ได้มีสมองแค่อันเดียว ที่จริงแล้ว คุณมีสมองมากกว่าหนึ่งสมอง!!
สมองส่วนคอยระวังภัยหรือ “ส่วนสัญชาติญาณ” หรือ ที่เราเรียกว่า
“สมองโบราณ” ที่เราคุยกันตอนที่แล้วจะทำงานเหมือน “เบรก” รถดีๆนี่เอง
.
แต่มนุษย์เรานอกเหนือจากการเอาตัวรอดตามสัญชาติญาณแล้ว
ก็ยังมีความต้องการที่หลากหลายมากมายอลังการดาวล้านดวงอีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็น เงินทอง ชื่อเสียง อำนาจ สิ่งของ คนรัก สุขภาพ
ความสุขสนุกสนาน ความสงบ ความสัมพันธ์
ซึ่งจำเป็นต้องใช้สมองอีกส่วนหนึ่ง ที่เรียกว่า “สมองส่วนหน้า” หรือ “สมองส่วนช้า”
ในการทำหน้าที่ คิด วิเคราะห์ หาเหตุผล ประมวลผลเชิงตรรกกะ รวมไปถึง
การสร้างสติสัมปชัญญะให้กับเรา เพื่อนำพาเราลงมือทำไปสู่เป้าหมายที่เราต้องการ
.
เวลาที่คนเรามีความอยากได้เป้าหมาย หรือต้องการอะไรบางอย่างให้เกิดขึ้นกับชีวิต
สมองส่วนนี้ก็จะทำงานเหมือน “คันเร่ง” ที่คอยผลักดันเราให้ออกจากจุดเดิมเสมอ
สมองส่วนนี้กินพื้นที่ของสมองทั้งหมดมากกว่า 40 เปอร์เซนต์
มากกว่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแบบเยอะมากๆ
และก็เพราะสมองส่วนนี้เช่นกันที่ทำให้วิวัฒนาการทางสังคมความคิดจิตใจ
ของคนเราพัฒนาซับซ้อนมากกว่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆอย่างเทียบไม่ติด
.
ในการที่จะเข้าใจกลไกการทำงานของสมองทั้งสองอย่างนี้
ให้เราลองนึกจินตนาการว่า วันนี้เรากำลังขับรถไปเที่ยวสถาณที่สักแห่งหนึ่ง
เราอยากไปให้ถึงเร็วมากๆ เพราะใจไปอยู่ที่นั่นตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว
เราก็จะเหยียบ “คันเร่ง” โดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม อะไรทั้งนั้น
แล้วเราก็จะแตะ “เบรก” น้อย และ “แตะ” ในกรณีที่มันจำเป็นและจวนตัวจริงๆ
แต่ถ้าเรากลัวหรือกังวลอันตรายตลอดเวลา ใจหนึ่งก็อยากถึงอีกใจหนึ่งก็กลัวอันตราย
เราก็จะขับรถแบบระวังภัยขั้นสุด ใจเราจะไม่อยู่ที่ “คันเร่ง” แต่จะไปจะไปอยู่ที่ “เบรก” แทน
.
ดังนั้นแล้ว ถ้าเราคิดตามหลักการปกติในการออกแบบรถยนต์เกียร์อัตโนมัต
“เบรก” คือสิ่งที่เราต้องเหยียบเป็นอันดับแรก
เมื่อเราปล่อย “เบรก” รถจึงจะเคลื่อนตัวออกไปแบบช้าๆ
และเมื่อเราแตะ “คันเร่ง” รถถึงจะพุ่งตัวไปข้างหน้าตามระดับ “ความซิ่ง” ของเรา
.
สมองก็ถูกออกแบบมาเช่นเดียวกัน “เบรก” ก็คือ “สมองส่วนอัตโนมัติ”
“คันเร่ง” ก็คือ “สมองส่วนหน้า” นั่นเอง
เมื่อเข้าใจกลไกของมันแล้ว คราวนี้ถ้าเราอยากไปถึงเป้าหมายเร็วๆ
แบบมีสติสัมปชัญญะ เราก็ต้องมาหาทางผ่อน “เบรก” และแตะ “คันเร่ง” กันครับ
.
ที่สมองมันต้อง “เบรก” ก็เพราะสมองกลัวว่า “มันจะเป็นอันตราย”
อันตรายของสมองนี้จะแบ่งได้เป็นสองแบบ ก็คือ
“อันตรายต่อชีวิต” และ “อันตรายต่อจิตใจ”
ดังนั้นวิธีผ่อน “เบรก” ให้สมองรู้สึก “ปลอดภัย” คลายความ “กลัว”
ก็ให้แก้ไปตามเงื่อนไขตามธรรมชาติของสมองครับ
.
เริ่มที่ “สมองส่วนอัตโนมัติ” กันก่อน สมองส่วนนี้ “กลัวตาย” ชัดเจน
ความรู้สึกกลัวของคนเราเชื่อมโยงโดยตรงกับ “การหายใจ”
ให้นึกภาพว่า ถ้าเราเดินหลงป่าแล้วดันเดินไป “เจอเสือ”
คงไม่ต้องบอกนะครับว่า ทั้งหัวใจเต้นและการหายใจเราจะเป็นยังไง
อันนั้นคือภาวะ “อันตรายต่อชีวิต” ที่สมองรับรู้
ดังนั้นเมื่อเรารู้สึกกลัวเมื่อตั้งเป้าหมาย ให้เราค่อยๆนั่งหรือนอนลงช้าๆ
เอามือจับหัวใจแล้วค่อยๆหายใจเข้าออกลึกๆช้าๆหลายๆครั้ง
พร้อมกับบอกตัวเองใจใจไปด้วยว่า “ไม่มีอะไรน่ากลัว ที่นี่ปลอดภัย”
สมองจะรับรู้ว่า เรา “อยู่ในที่ที่ปลอดภัย” แล้ว
.
คราวนี้ส่วนที่เป็นความท้าทายอย่างมากก็คือ “อันตรายต่อจิตใจ”
อาการที่แสดงออกมาชัดเจนก็คือ เครียด กดดัน วิตกกังวล กลัวล้มเหลว
อันนี้จะเชื่อมโยงโดยตรงกับสมองส่วนช้าล้านเปอร์เซนต์
เพราะว่าเราป้อนข้อมูลบางอย่างที่ไม่ใช่อยู่ในรูปแบบที่สมองคุ้นเคยเข้าไปนั่นเอง
.
ดังนั้นเราจะต้องให้สมองส่วนนี้ผ่อน “เบรก” และแตะ “คันเร่ง” ทันที
โดยการให้สมองได้ประมวลผลคิดวิเคราะห์หาเหตุผลผ่านการตั้งคำถาม
คำถามที่เราจะถามสมองของเราก็คือ (ให้ลองตั้งเป้าหมายแล้วถามตัวเองไปด้วยครับ)
.
คำถามที่ 1
“ฉันรู้ว่าเป้าหมายนี้มันยากนะ แต่ฉันจะทำให้มันสำเร็จได้ยังไง”
.
คำถามที่ 2
“ถ้าฉันไม่รู้เรื่องนี้(การทำเป้าหมายให้สำเร็จ) แล้วมีใครที่พอจะรู้เรื่องนี้บ้าง”
.
คำถามที่ 3
“ถ้าฉันไม่มีทรัพยากรเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ แล้วใครพอจะมีบ้าง”
.
ลองถามแล้วลองตอบตัวเองดู แล้วลองประเมินดูสิว่าตอนนี้เรารู้สึกยังไงบ้างกับเป้าหมายนี้
.
นอกจากการผ่อน “เบรก” และ แตะ “คันเร่ง” แล้ว
เรายังต้องการ ระบบนำทาง GPS แบบ 4D ที่แม่นยำชัดเจน
และไม่หายไปถึงแม้จะไม่มีสัญญาณอินเตอร์เนต
เพื่อที่ว่า ต่อให้เราขับรถหลงทาง ระบบนี้ก็จะนำทางเรากลับมาอยู่ในเส้นทาง
ที่จะพาเราไปสู่เป้าหมายได้ตลอดเวลานั่นเอง
.
การจะทำให้ระบบนำทางเราชัดเจนในสมอง
เราต้องการให้สมองหลั่งสารเคมี สองตัวออกมา
เพื่อที่ว่ามันจะได้ปักเป้าหมายไว้ไม่ลืมเลือน เหมือนที่เราปัก GPS
สารที่ว่านั้นก็คือ “สารแห่งความตื่นเต้น” (โดรพามีน)
และ “สารแห่งความรักและผูกพันธ์” (ออกซิโตซิน)
.
ประเด็นมันอยู่ที่ว่าเราจะทำอย่างไรให้สารเคมี 2 ตัวนี้หลั่งออกมาในสมองยอะๆ
เพื่อจะให้เรารู้สึกตื่นเต้นและ ผูกพันธ์กับเป้าหมายนี้ ซึ่งเราสามารถทำได้โดย
เขียนเป้าหมายและสร้างวิชั่นบอร์ด เอาภาพเป้าหมายมาดูทุกวี่ทุกวัน
จินตนาการถึงความสำเร็จ และเล่าให้คนคอเดียวกันฟังถึงเป้าหมายของเรา
.
ขอเตือนไว้อย่างหนึ่งนะครับ อย่าไปเล่าความฝันหรือเป้าหมาย
ให้คนที่ชอบขัดคอเราฟังบ่อยๆ
เพราะเดี๋ยวสมองจะได้รับการยืนว่า “คุณทำไม่ได้หรอก”
แล้วคุณจะหลงเชื่อไปตามนั้นจริงๆ
.
เมื่อถึงตอนนั้นก็ไม่มีใครช่วยคุณได้แล้วครับ
แต่ถ้าตอนนั้นมาถึง ก็มาหาโค้ชได้นะครับ ยังพอมีทางแก้อยู่55
———————————————————————————-
โค้ชเพียว
ดร. วีรพงษ์ ศรัทธาผล